เมโสมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติหลากหลายชนิด ซึ่งร่วมกันทำงานยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ป้องกันความหมองคล้ำของผิวที่ถูกกระตุ้นจากมลพิษและแสงแดด มีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังให้ความชุ่มชื้น กระชับผิวโดยไม่เกิดอันตรายต่อผิวและร่างกายช่วยลดการสร้างเมลานิน ลดรอยฝ้า จุดด่างดำ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระของผิว สามารถเห็นผลได้ดี แม้เป็นฝ้าลึกหรือรอยด่างดำที่ทิ้งไว้นาน หรือด่างดำเฉพาะจุด ได้อย่างปลอดภัยข้อแนะนำการใช้ใช้สำหรับทำเมโสลดจุดด่างดำ ฝ้า ปรับสภาพผิวให้ขาวขึ้น สามารถใช้รวมกับวิตามินซีได้เพื่อเกิดประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นสามารถทำเมโสได้ติดต่อกัน หรือบ่อยครั้ง 1-2 ครั้งต่ออาทิตย์ได้
เทคนิคการฉีดเมโส มีวิธีการฉีด 2 แบบ คือ
การฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด เป็นวิธีการใช้เข็มฉีดยาสะกิดผิวหน้าเป็นจุดเล็ก ๆ ทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อให้วิตามินซึมซาบเข้าสู่ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิว ดังนั้น ภายหลังการฉีดแบบสะกิดทันที จะทำให้เกิดรอยแดงขึ้นบนใบหน้า ซึ่งจะหายไปในวันรุ่งขึ้น
การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด เป็นวิธีการใช้เข็มฉีดตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง เพื่อให้วิตามินให้ซึมซาบเข้าสู่ผิว ซึ่งวิธีการฉีดแบบนี้จะทำให้เกิดแผลได้น้อยกว่า เจ็บน้อยกว่า รอยช้ำลดลง ประสิทธิภาพของยาออกฤทธิ์ได้ยาวนานมากขึ้น
สรรพคุณอื่นๆ ของเมหน้าใส ⦁ มอบสุขภาพผิวหน้าที่อ่อนเยาว์กว่าวัย
⦁ ช่วยให้รูขุมขนที่กว้างให้เล็กลง
⦁ ช่วยลดปัญหารอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
⦁ ช่วยลดโอกาสการเกิดสิวใหม่บนใบหน้า
⦁ ช่วยลดปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ทั้งตีนกา ริ้วรอยมุมปาก ริ้วรอยข้างแก้มและริ้วรอยบนหน้าผาก
เห็นผลภายในกี่วัน
หลังการฉีดเมโสหน้าใสจะเริ่มเห็นผล 3 วันหลังการฉีด และจะเห็นผลที่ชัดเจนในช่วงเวลา 7-14 วัน มีประสิทธิภาพอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน โดยปกติเมโสหน้าใสจะฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้งของเดือนแรก และหลังจากนั้นจะฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์เพื่อคงสภาพ ซึ่งเมโสหน้าใสไม่มีการฉีดแบบถาวร สลายหมดไม่มีสารตกค้าง
เหมาะกับใครบ้าง? ⦁ คนที่ไม่ชอบทาครีม และต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ไวกว่า
⦁ คนที่มีปัญหาผิวหน้า เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำและสิว
⦁ คนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง นอนดึก อดนอน และทำงานหนัก ทำงานในกะกลางคืน เที่ยวดึก เป็นต้น
Comments